ประวัติสโมสร
AC Milan ย่อมาจาก
Associazione Calcio Milan ได้ก่อตั้งสโมสรขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1899 โดยชาวอังกฤษสามคน ได้พูดคุยกันที่ห้องหนึ่งในโรงแรมโฮเตลดู นอร์ และเกิดความคิดที่จะสร้างสโมสรคริกเกตและฟุตบอลชื่อ
“Milan Football and Cricket Club” ซึ่งตอนเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ คลับแห่งนี้เน้นไปที่คริกเกตมากกว่า แต่เมื่อข่าวค่อยๆแพร่กระจายออกไป ก็มีผู้คนให้การสนับสนุนฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมี
อัล เฟรด เอ็ดเวิร์ดส์ ทำหน้าที่ประธานสโมสรเป็นคนแรก โดยหลังจากที่ไปขึ้นทะเบียนกับสหภาพฟุตบอลอิตาเลี่ยนแล้ว ทีมก็ได้เข้าร่วมชิงชัยในฟุตบอล รวมทั้งเริ่มสร้างสนามเพื่อใช้ในการเป็นเจ้าบ้าน โดยทำการสร้างสนามที่บริเวณทรอตเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันก็คือ สถานีรถไฟกลางนั่นเอง
นัดเปิดสนามนัดแรกของสโมสรคือ การที่มิลานแข่งกับทีมเมดิโอลานุม ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1900 และมิลานเอาชนะไปได้ 3-0 ซึ่งผู้เล่น 11 คนแรกของสโมสรประกอบไปด้วย
ฮู้ ด ชิ ญญากี้ ตอร์เรตต้า ลี ส์ คิลปิน วา เลริโอ้ ดู บินี่ เด วี่ส์ เน วิลล์ อัล ลิสัน ฟอร์ เมนติ โดยในขณะนั้น
คิลปินเป็น ทั้งหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรและเป็นกัปตันทีมฟุตบอล อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมในขณะนั้น แต่ทว่าการแข่งขันอย่างเป็นทางการจริงๆ มิลานกลับแพ้
โต ริโน่ 0-3 เมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1900
ในปี ค.ศ. 1919 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น
“Milan Football Club” จากนั้นในปี ค.ศ. 1936 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
“Milan Associazione Sportiva” ต่อมาในปี ค.ศ. 1938 เปลี่ยนมาเป็น
“Associazione Calcio Milano” สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็น
“Associazione Calcio Milan” ในปี ค.ศ. 1945 และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
เอซี มิลาน ใช้สีแดง-ดำ เป็นสีประจำทีม มีฉายาในภาษาอิตาเลี่ยนว่า
“รอ สโซ่เนรี่” หรือ
“อิล ดิอาโวโล่” ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า
“ปีศาจ แดง-ดำ” และเรียกเหล่ากองเชียร์ของสโมสรว่า
“มิลานิสต้า”
เอซี มิลาน ใช้สนาม
“ซาน ซิโร่” หรือ
“สตา ดิโอ้ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า” ซึ่งเป็นสนามประจำเมืองมิลาน มีความจุโดยประมาณ 80,074 คน (ปัจจุบัน) เป็นสนามประจำทีม โดยสนาม
ซาน ซิโร่ สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1926 ซึ่งผู้ที่ริเริ่มความคิดคือ
ปิ เอโร่ ปิเรลลี่ ประธานสโมสรของมิลานในขณะนั้น โดยเขาคิดที่จะมอบมันเป็นของขวัญให้กับสโมสร สนาม
ซาน ซิโร่ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด 1 ปี โดยสามารถจุผู้ชมได้ 10,000 ที่นั่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการปรับปรุงสนามซาน ซิโร่ เพื่อให้สามารถรองรับแฟนบอลที่มาเข้าชมการแข่งขันได้มากขึ้น โดยครั้งนี้ได้เพิ่มจำนวนที่นั่งขึ้นไปเป็น 55,000 ที่นั่ง
ในปี ค.ศ. 1986 ได้มีการปรับปรุงสนาม
ซาน ซิโร่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อใช้เป็นสนามในการจัดการแข่งขัน
ฟุตบอล โลก 1990 โดยครั้งนี้ได้มีการสร้างหลังคาที่ทำด้วยไฟเบอร์กลาส และสร้างหอคอยทางขึ้นอีก 11 ด้านเสียใหม่ รวมทั้งเพิ่มความจุของที่นั่ง จากเดิม 5 หมื่นกว่าที่นั่ง ไปเป็น 85,700 ที่นั่ง ซึ่งมีการคาดกันว่า ถ้าเอากันจริงๆแล้ว สนาม
ซาน ซิโร่ น่าจะสามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 150,000 คน แต่เนื่องจากติดปัญหาในด้านความปลอดภัย สภาเมือง
มิ ลาน จึงได้ออกกฎห้ามมิให้มีผู้ชมเกินกว่า 100,000 คน
เกียรติประวัติการแข่งขัน
- ยุคเริ่มก่อตั้งถึงยุคทศวรรษที่ 40 ยุคนี้ถือเป็นยุคมืดของมิลาน โดยตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษ มิลานได้แชมป์
อิ ตาเลี่ยน ฟุตบอล แชมเปี้ยนชิพ หรือ
กัล โช่ เซเรีย อา เพียงแค่ 3 สมัยเท่านั้น ในปี 1901, 1906 และ 1907 รองแชมป์ 2 ครั้ง ในปี 1902 และ 1948, รองแชมป์
โค ปป้า อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1942 โดยแพ้ให้กับ
ยู เวนตุส นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ปล่อยให้
เจ นัว,
โป ร แวร์เชลลี่,
ยู เวนตุส,
อินเตอร์,
โต ริโน่ และ
โบ โลญญ่า ผลัดกันขึ้นครองแชมป์อย่างสนุกมือ โดยนักเตะที่สำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
เฮอร์เบิร์ต คิลปิน,
หลุยส์ ฟาน แฮช,
อัล โด้ เคเวนินี่,
จู เซ็ปเป้ ซานตากอสติโน่,
อัล โด้ โบฟฟี่,
คา ร์โล อันโนวาซซี่,
เรน โซ่ บูรินี่ และ
โอ เมโร่ โตญญ่อน เป็นต้น
- ยุคทศวรรษที่ 50 ยุคนี้ มิลานได้แชมป์
กัล โช่ เซเรีย อา ถึง 4 สมัย ในปี 1951, 1955, 1957 และ 1959 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1950, 1952 และ 1956 ส่วนในระดับทวีปนั้น มิลานได้เข้าชิง
ยู โรเปี้ยน คัพ ในปี 1958 แต่แพ้ต่อ
เร อัล มาดริด ยอดทีมในยุคนั้นไป 2-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่
สาม ทหารเสือสวีดิช เก ร-โน-ลี อย่าง
กุน น่าร์ เกร็น,
กุน น่าร์ นอร์ดาห์ล และ
นิลส์ ลีดโฮล์ม นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายคน เช่น
เช ซาเร่ มัลดินี่,
ฮวน เชียฟฟิโน่,
ฟราน เชสโก้ ซากัตติ,
อา ร์ตูโร่ ซิลเวสตรี้ และ
ลอเรน โซ่ บุฟฟ่อน เป็นต้น
- ยุคทศวรรษที่ 60 ยุคนี้ถือเป็นยุครุ่งเรืองยุคหนึ่งของมิลาน โดยมิลานได้แชมป์
กัล โช่ เซเรีย อา 2 สมัย ในปี 1962 และ 1968 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1961, 1965 และ 1969, แชมป์
โค ปป้า อิตาเลีย 1 สมัย ในปี 1967 ที่เอาชนะ
ปา โดว่า รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1968 ที่แพ้ต่อ
โต ริโน่, แชมป์
ยู โรเปี้ยน คัพ 2 สมัย ในปี 1963 ที่เอาชนะ
เบน ฟิก้า ของ"เสือดำแห่งโมซัมบิก"
ยู เซบิโอ้ ไป 2-1 และปี 1969 ที่ถล่ม
อา แจ๊กซ์ ของ"นักเตะเทวดา"
โย ฮัน ครัฟฟ์ ไปถึง 4-1, แชมป์
ยู โรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1968 ที่เอาชนะ
ฮัม บูร์ก และได้แชมป์
สโมสร โลก 1 สมัย โดยเอาชนะ
เอส ตูเดียนเตส ในปี 1969 รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1963 ที่พ่ายต่อ
ซาน โต๊ส ของ"ไข่มุกดำ"
เป เล่ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่
จาน นี่ ริเวร่า,
โฮ เซ่ อัลตาฟินี่,
ปิ เอริโน่ ปราติ,
อัน เจโล่ ซอร์มานี่,
จาน คาร์โล ดาโนว่า,
คา ร์ล-ไฮนซ์ ชเนลลิงเกอร์,
มาริ โอ้ เตร๊บบี้,
บรู โน่ โมร่า,
โจ วานนี่ โลเดตติ,
มาริ โอ้ ดาวิด,
โจ วานนี่ ตราปัตโตนี่,
อัน เจโล่ อันกวิลเลตติ,
โร แบร์โต้ โรซาโต้,
ลุย จิ ราดิเซ่,
ดิ โน่ ซานี่,
จอร์โจ้ เกซซี่ และ
ฟา บิโอ้ คูดิชินี่ เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้คือ
เน เรโอ้ ร็อคโค่
- ยุคทศวรรษที่ 70 ยุคนี้ถือเป็นยุคประคองตัว ความสำเร็จภายในประเทศตกไปเป็นของ
ยู เวนตุสอีกครั้ง ส่วนในระดับยุโรป ก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปทาบรัศมีของ
อา แจ๊กซ์,
บา เยิร์น และ
ลิ เวอร์พูลได้เลย โดยมิลานได้แชมป์
กัล โช่ เซเรีย อา เพียงแค่ 1 สมัย ในปี 1979 รองแชมป์ 3 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1971, 1972 และ 1973, แชมป์
โค ปป้า อิตาเลีย 3 สมัย ในปี 1972, 1973 และ 1977 ที่ชนะ
นา โปลี,
ยู เวนตุส และ
อินเตอร์ ตามลำดับ รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1971 ที่แพ้ต่อ
โต ริโน่ และในปี 1975 ที่แพ้ต่อ
ฟิออ เรนติน่า, แชมป์
ยู โรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1973 ที่เอาชนะ
ลีดส์ และรองแชมป์ 1 ครั้ง ในปี 1974 ที่แพ้ต่อ
มัก เดบวร์ก นอกจากนี้ ยังได้รองแชมป์
ยู โรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1 ครั้ง ในปี 1973 โดยที่นัดแรกเล่นในบ้าน เอาชนะ
อา แจ๊กซ์ได้ 1-0 แต่พอไปเยือนกลับโดนอัดกลับมาถึง 6-0 ชวดแชมป์ไปอย่างเจ็บปวด โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่
อัล แบร์ติโน่ บิก้อน,
อัล โด้ มัลเดร่า,
จู เซ็ปเป้ ซาบาดินี่,
อัล โด้ เบท,
เอ กิดิโอ้ คัลโลนี่,
ฟู ลวิโอ้ โคลโลวาติ,
เอ็น ริโก้ อัลแบร์โตซี่,
โร เมโอ เบเนตติ และ
รู เบน บูริอานี่ เป็นต้น
- ยุคทศวรรษที่ 80 ในช่วงต้นทศวรรษถือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของสโมสร เมื่อมิลานถูกปรับตกชั้นในปี 1980 จากข้อหาพัวพันกับคดีการล้มบอลของประธานสโมสร
เฟลิ เซ่ โคลอมโบ้ และผู้รักษาประตูของทีมอย่าง
เอ็น ริโก้ อัลแบร์โตซี่ ทำให้ทีมต้องลงเล่นในศึก
กัล โช่ เซเรีย บี เป็นครั้งแรก ซึ่งถึงแม้ว่าจะคว้าแชมป์
เซ เรีย บี ได้ในทันที แต่เมื่อกลับคืนสู่
เซ เรีย อา ได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ต้องตกชั้นอีก อย่างไรก็ตาม มิลานก็สามารถกลับคืนสู่
เซ เรีย อา ในฐานะแชมป์
เซ เรีย บี อีกครั้ง ในปี 1983 แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ประธานสโมสร
จู เซ็ปเป้ ฟาริน่า ได้พัวพันกับคดีทางกฎหมาย จนทำให้เขาตัดสินใจหนีไปอยู่ที่แอฟริกาใต้ พร้อมกับเอาเงินของสโมสรไปด้วย มิลานในขณะนั้นจึงอยู่ในสภาพเกือบล้มละลาย แต่เมื่อมีมหาเศรษฐีที่ชื่อ
ซิ ลวิโอ้ แบร์ลุสโคนี่ เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสรในปี 1986 มิลานก็เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง โดยมิลานได้แชมป์
กัล โช่ เซเรีย อา 1 สมัย ในปี 1988, รองแชมป์
โค ปป้า อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1985 ที่แพ้ต่อ
ซามพ์โด เรีย, ได้แชมป์
อิ ตาเลี่ยน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1988 ที่ชนะ
ซามพ์โด เรีย, แชมป์
ยู โรเปี้ยน คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่ถล่ม
สเต อัว บูคาเรสต์ 4-0, แชมป์
ยู โรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่เอาชนะ
บาร์ เซโลน่า และได้แชมป์
สโมสร โลก 1 สมัย ในปี 1989 อีกเช่นกัน โดยเอาชนะ
แอ ตเลติโก้ นาซิอองนาล 1-0 ซึ่งนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่
สาม ทหารเสือดัตช์อย่าง
มา ร์โก้ ฟาน บาสเท่น,
รุด กุลลิต และ
แฟรง ค์ ไรจ์การ์ด นอกจากนั้นก็ยังมี
เปา โล มัลดินี่,
ฟรัง โก้ บาเรซี่,
อเล สซานโดร คอสตาคูร์ต้า,
เมา โร่ ตัสซอตติ,
ฟิ ลิปโป้ กัลลี่,
โจ วานนี่ กัลลี่,
โร แบร์โต้ โดนาโดนี่,
อัล เบริโก้ เอวานี่,
คา ร์โล อันเชลอตติ,
ดา นิเอเล่ มัสซาโร่,